ข่าวภาคค่ำ – คอลัมน์หมายเลข 7 วันนี้ พาท่านผู้ชมไปถอดบทเรียน เงินกว่า 2.6 ล้านบาท ของคุณยายสมจิตร สุธงษา ที่ถูกพนักงาน ธ.ก.ส. สาขาภูเรือ จังหวัดเลย ยักยอกไป แม้ตอนนี้จะได้เงินคืนแล้ว แต่มีจุดไหนที่ต้องปรับปรุง ป้องกันไม่ให้เกิดเหยื่อรายใหม่ ติดตามกับคุณสมจิตต์ นวเครือสุนทร
เป็นวินาทีที่ คุณยายสมจิตร สุธงษา ได้เห็นเงินกว่า 2.6 ล้านบาท ของตัวเองกลับมาอยู่ในบัญชีอีกครั้ง หลังรู้ตัวว่าเงินในบัญชีหาย เมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา พบมีการถอนเงินออกจากบัญชีไป 9 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2564 จนถึงวันที่ 1 ธันวาคม ปีเดียวกัน รวมเป็นเงิน 2,601,000 บาท จึงเข้าแจ้งความที่ สภ.ภูเรือ กระทั่งทราบว่าเป็นการกระทำของพนักงานใน ธ.ก.ส. ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ นายสรายุทธ โตพันธ์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. สาขาภูเรือ จังหวัดเลย นำสมุดเงินฝากที่มียอดจำนวน 2,601,000 บาท มามอบให้ พร้อมทั้งขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ล่าสุดพนักงานคนดังกล่าวถูกไล่ออกแล้ว และมีคำยืนยันจากผู้บริหาร ธ.ก.ส. ว่า จะดำเนินคดีอาญากับคนทุจริตให้ถึงที่สุด
แม้จะมีการคืนเงินให้กับผู้เสียหาย และดำเนินคดีอาญากับผู้ก่อเหตุแล้ว แต่ คุณยายสมจิตร เล่าว่า จนถึงขณะนี้ก็ยังเครียด พร้อมกับฝากถึงพนักงานธนาคารที่ยักยอกเงินว่า “อย่าไปทำแบบนี้กับใครอีก”
การยักยอกทรัพย์จากบัญชีธนาคารของลูกค้า โดยฝีมือพนักงานธนาคาร ทำให้เกิดคำถามถึงระบบตรวจสอบว่า มีความรัดกุมเพียงพอหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับคำยืนยันว่า ระบบตรวจสอบรอบคอบ แต่ต้องขันนอตให้การดำเนินธุรกรรม ผ่านรหัสของผู้รับผิดชอบ ต้องมีความรัดกุมกว่านี้
การฝากเงินในธนาคารให้ปลอดภัย สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเสมอคือ เลขที่บัญชี บัตรประชาชน รหัสในบัตรเอทีเอ็ม ต้องเป็นความลับ ระวังการรับข้อมูลข่าวสารทางโทรศัพท์ ไม่รับ ไม่แชร์ ไม่กด ไม่ให้ข้อมูล หมั่นปรับสมุดบัญชีอย่างสม่ำเสมอ แต่ในยุคดิจิทัลอาจง่ายกว่านั้น เพียงแค่สมัครเอสเอ็มเอส ให้ธนาคารรายงานเงินเข้าออกในบัญชี อาจมีค่าใช้จ่ายรายเดือน แต่คุ้มค่ากับการเข้าถึงข้อมูลอย่างทันท่วงที ป้องกันไม่ให้เงินรองรังของเรา ถูกโยกไปอยู่ในกระเป๋าคนอื่น เพราะยิ่งรู้ตัวช้า โอกาสที่จะได้เงินคืนก็ล่าช้าตามไปด้วย