สภาลมหายใจเชียงใหม่ซัดรัฐบาลละเลยปล่อยฝุ่นควันมลพิษวิกฤต-จี้จริงจังแก้ปัญหาปกป้องผลกระทบสุขภาพผู้คน เผยแพร่: 27 มี.ค. 2566 22:09 ปรับปรุง: 27 มี.ค. 2566 22:09 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ เชียงใหม่ – สภาลมหายใจเชียงใหม่เปิดลานประตูท่าแพซัดรัฐบาลละเลย ปล่อยสถานการณ์ฝุ่นควัน PM 2.5 เข้าขั้นวิกฤต ค่ามลพิษพุ่งเกินเกณฑ์มาตรฐานกระทบสุขภาพถ้วนหน้า แต่กลับนิ่งเฉย ปล่อยภาระให้ประชาชนปกป้องดูแลตัวเองตามยถากรรม ทั้งที่ควรประกาศพื้นที่ภัยพิบัติหยิบยื่นความช่วยเหลือเร่งด่วน ขณะที่หนึ่งในผู้ร่วมกิจกรรมชาวอำเภอหางดงเผยประสบการณ์สุดเศร้าต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ รวมทั้งเพื่อนถูกพรากชีวิตด้วยมะเร็งปอดทั้งที่ไม่สูบบุหรี่และดูแลสุขภาพอย่างดี เชื่อสาเหตุมาจากฝุ่นควัน วอนรัฐและหน่วยงานเกี่ยวข้องจริงจังแก้ไขปัญหาเสียทีช่วงเย็นวันนี้ (27 มี.ค. 66) ที่บริเวณลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สภาลมหายใจเชียงใหม่ นำโดยนายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานคณะกรรมการอำนวยการสภาลมหายใจเชียงใหม่ พร้อมด้วยเครือข่ายภาคประชาชน ร่วมกันจัดกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อเรียกร้องถึงรัฐบาลและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันและมลพิษอากาศของจังหวัดเชียงใหม่อย่างเร่งด่วนและจริงจัง หลังจากที่สถานการณ์ปัญหารุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเข้าขั้นวิกฤตแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอดช่วง 3 วันที่ผ่านมาที่ผลการตรวจวัดค่ามลพิษอากาศของจังหวัดเชียงใหม่สูงเป็นอันดับ 1 ของเมืองหลักที่คุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลกติดต่อกัน ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปร่วมกันเขียนข้อความสะท้อนปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น ตลอดจนข้อเสนอแนะเรียกร้อง พร้อมทั้งมีการแจกหน้ากากอนามัยชนิดที่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 และมลพิษอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพให้ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมและประชาชนทั่วไปด้วยทั้งนี้ นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานคณะกรรมการอำนวยการสภาลมหายใจเชียงใหม่ เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้สืบเนื่องจากสถานการณ์ฝุ่นควันมลพิษอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ที่รุนแรงขึ้นต่อเนื่องเข้าขั้นวิกฤตและสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ของเมืองหลักที่คุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลกติดต่อกัน 3 วันแล้ว ซึ่งเชื่อว่าคนเชียงใหม่รู้สึกอัดอั้นและหมดความอดทนกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ ที่รัฐบาลนิ่งเฉย ปล่อยให้ประชาชนดูแลปกป้องตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของผลกระทบสุขภาพ แทนที่รัฐบาลจะทำหน้าที่ดังกล่าว ในการสนับสนุนหน้ากากอนามัยสำหรับสวมใส่ป้องกัน, เครื่องฟอกอากาศ และการรักษาพยาบาล ไม่ใช่ปล่อยให้ภาระดังกล่าวตกอยู่แก่ประชาชน ขณะเดียวกันต้องมีแผนการปฏิบัติที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมในการลดฝุ่นควัน PM 2.5 ด้วย ซึ่งสาเหตุชัดเจนว่ามาจากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลกลับไม่กล้าดำเนินการใดๆขณะเดียวกัน ประธานคณะกรรมการอำนวยการสภาลมหายใจเชียงใหม่กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ปัญหาฝุ่นควันที่รุนแรงในเวลานี้ของจังหวัดเชียงใหม่ ยอมรับว่าในปีนี้ทางจังหวัดเชียงใหม่สามารถควบคุมการเผาในพื้นที่ได้ดี จนจุดความร้อนมาจากการเผาในพื้นที่ลดลงมาก แต่ปัจจัยสำคัญมาจากฝุ่นควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีต้นตอมาจากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างที่ทราบกันทั่วไป ดังนั้น การแก้ไขปัญหาจึงเกินกำลังของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่และหน่วยงานในพื้นที่ แต่ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาล จึงอยากเรียกร้องถึงรัฐบาลปัจจุบันว่าอยากให้ช่วยดูแลแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนด้วย ไม่ใช่มัวห่วงแต่เรื่องอื่น และฝากถึงรัฐบาลใหม่ว่าอยากให้หยิบยกประเด็นปัญหาฝุ่นควันและมลพิษอากาศขึ้นมาเป็นวาระเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวสำหรับแนวทางของแผนการป้องกันแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 นั้น นายชัชวาลย์บอกว่า อยากให้ถอดบทเรียนจากปัญหาที่เกิดขึ้นในปีนี้และวางแผนล่วงหน้า โดยลักษณะแผนและทำงานนั้นจะต้องทำต่อเนื่องตลอดทั้งปี ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยมาตามแก้ ทั้งนี้ต้องเป็นการทำงานในเชิงป้องกัน 80% และเผชิญเหตุ 20% ไม่ใช่อย่างทุกวันนี้ที่เป็นการเผชิญเหตุ 90% เป็นงานในเชิงป้องกันเพียง 10% เท่านั้น ซึ่งในช่วงการเลือกตั้ง ส.ส.ที่กำลังจะมีขึ้นนี้ พบว่าพรรคการเมืองหลายพรรคที่มีการนำเสนอนโยบายเกี่ยวกับเรื่องการป้องกันแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ซึ่งมองว่าหากพรรคการเมืองใดที่มีการนำเสนอนโยบายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมแล้ว เชื่อว่าคนเชียงใหม่พร้อมที่จะลงคะแนนเสียงให้อย่างแน่นอนนอกจากนี้ ประธานคณะกรรมการอำนวยการสภาลมหายใจเชียงใหม่ระบุว่า ที่จริงแล้วสถานการณ์ปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 และมลพิษอากาศที่รุนแรงของจังหวัดเชียงใหม่ในเวลานี้ อยู่ในเกณฑ์ที่สมควรจะต้องมีการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินได้แล้ว โดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่สุขภาพของประชาชนเป็นหลัก เพื่อให้การช่วยเหลือดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งอยู่ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ที่สามารถประกาศดังกล่าวได้ แต่กลับไม่มีการพิจารณาดำเนินการ โดยเชื่อว่าอาจจะเป็นเพราะไม่กล้าตัดสินใจเนื่องจากหวั่นเกรงในเรื่องของภาพลักษณ์และอำนาจสั่งการที่อยู่เหนือขึ้นไป ซึ่งประเด็นนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือและเกินกำลังของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่จะสามารถทำได้ แต่ต้องเป็นรัฐบาลรายงานข่าวแจ้งว่า ในระหว่างการจัดกิจกรรมครั้งนี้ นางสาววนารักษ์ ไซพันธ์แก้ว อายุ 53 ปี ชาวอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ได้เข้าร่วมกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในครั้งนี้ด้วย พร้อมเปิดเผยว่า เมื่อช่วงปี 2565 ที่ผ่านมาเพิ่งสูญเสียผู้เป็นพ่อไป หลังจากที่ล้มป่วยและตรวจพบโรคถุงลมโป่งพองได้เพียงประมาณ 1 เดือน ทั้งๆ ที่ไม่สูบบุหรี่และดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี ซึ่งช่วงรักษาตัวมีการตรวจพบชิ้นเนื้อขนาดประมาณ 8.3 เซนติเมตรในปอด และกำลังอยู่ระหว่างการจะเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจ แต่พ่อได้เสียชีวิตลงก่อน ทั้งนี้เชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้พ่อเสียชีวิตน่าจะมาจากมะเร็งปอด เพราะแม้จะไม่สูบบุหรี่และดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี แต่สภาพแวดล้อมในชุมชนที่อยู่อาศัยนั้นพบว่ามีการเผาเป็นประจำ ขณะที่ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2557 ผู้เป็นแม่ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอด ทั้งที่ไม่สูบบุหรี่เหมือนกัน นอกจากนี้ เมื่อช่วงต้นปี 2565 ยังมีเพื่อนของตัวเองที่เสียชีวิตด้วยมะเร็งปอดทั้งที่ไม่สูบบุหรี่เช่นกัน จึงเชื่อว่าสาเหตุมาจากมลพิษอากาศ และอยากเรียกร้องให้ทุกคนตระหนักเห็นถึงความร้ายแรงของปัญหานี้และหน่วยงานเกี่ยวข้องเห็นความสำคัญพร้อมแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง