“พระมหาไพรวัลย์” สัมโมทนียกถา ถึงผม
หลังจากผมกล่าวทวนข้อความที่ท่านโพสต์ “บูชาพญานาค บูชาหมาที่บ้านดีกว่า” ไปวันก่อน
ฟังแล้ว ก็…สาธุ!
ท่านมหาแครอตกล่าวธรรมได้ไพเราะนัก เพื่อญาติโยมจะได้อนุโมทนาร่วมกัน ขอนำมาให้สดับต่อ ดังนี้
“อาตมาขอเขียนถึง เปลว สีเงิน อีกสักรอบนะ ในฐานะที่เขาอุตส่าห์มีน้ำใจเขียนบทความพาดพิงถึงอาตมา ตามลิงค์ดังที่ปรากฏนี้
ขอพูดอย่างไม่เกรงใจว่า ในความรู้สึกของอาตมา เปลว สีเงิน เป็นแต่เพียงนักเขียนวัยชราที่ตกขอบ เป็นคนแก่ซึ่งมากแต่เพียงทางวัยวุฒิ หาได้มีสติปัญญาหรือความลึกซึ้งในทางความคิดความอ่านใดใดไม่
คนโบราณมีคำพูดหนึ่งที่ใช้เรียกคนประเภทนี้ว่า แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน นายเปลว สีเงินนี่เข้าตำราอย่างที่โบราณสอนเลย
ที่จริง อาตมาก็ไม่สู้แปลกใจเท่าไหร่นักหรอกที่จะเห็นนายเปลว สีเงินเขียนบทความถึงอาตมาในลักษณะนี้
เพราะแม้แต่สำนักข่าวอย่างไทยโพสต์ ที่นายเปลว สีเงิน เขียนคอลัมน์ให้อยู่ประจำ ก็มักชอบแปลงสาสน์ และเขียนข่าวแบบไร้จรรยาบรรณ หรือขาดสามัญสำนึกแห่งความเป็นสื่ออย่างหน้าด้านๆ อยู่บ่อยครั้ง
อาตมายืนยันอีกครั้งว่า คำพูดที่ว่า ‘ถ้าจะบูชาพญานาค บูชาหมาที่บ้านดีกว่า’ เป็นคำพูดที่อาตมาได้คิดไตร่ตรองอย่างดีแล้ว
และไม่ใช่เรื่อง ‘คิดต่ำคิดทราม’ แบบที่นายเปลว สีเงิน ทึกทักเอาเองเลย หรืออาจเป็นเพราะคนแก่นายเปลว สีเงิน จะมีสติปัญญามองเห็นได้แค่นั้นก็ไม่อาจทราบได้
อาตมาเขียนคำนี้ ก็เขียนเอาจากสิ่งที่มันเกิดขึ้นอยู่ในสังคมไทยทุกวัน เขียนเอาจากคติความเชื่อที่ทำร้ายคนพุทธในบ้านนี้เมืองนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
อาตมาออกจะแปลกใจอยู่ ถ้าคนแบบนายเปลว สีเงิน จะนอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็นว่า คนพุทธในสังคมนี้บอบช้ำกับมิจฉาทิฏฐิที่มีเกี่ยวกับพญานาคอย่างไรบ้าง นี่อาตมาจะช่วยฟื้นความจำให้ก็ได้
ไม่กี่ปีที่แล้ว มีข่าวใหญ่โตข่าวหนึ่ง ชาวบ้านพบบ่อน้ำผุด และเชื่อกันว่า มันมาจากถ้ำบาดาลของพญานาค มีคนอ้างว่าถ่ายภาพติดพญานาค บางคนฝันเห็นพญานาคมาขดที่บ้าน แล้วชาวบ้านก็ตักน้ำนั้นไปดื่ม เพราะความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นเอง คือเชื่อว่า มันมาจากพญานาค
คนแบบนายเปลว สีเงิน รู้ไหม สุดท้าย น้ำที่ชาวบ้านพากันตักไปกิน ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่สาธารณะสุขเข้ามาเตือนแล้วว่า อาจมีอันตราย คือน้ำอะไร ?
มันคือน้ำขี้ มันคือน้ำส้วม แล้วถ้าจะต้องบูชาน้ำขี้น้ำส้วมแบบนี้ การบูชาหมาแบบที่อาตมาว่า ไม่ดีกว่าตรงไหน ?
อีกเรื่องก็ได้นะ เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวโยมคนหนึ่งลงทุนทุบบ้านตัวเองทิ้งเพื่อขุดหาพญานาค ที่ทำเช่นนั้นเพราะดันไปเชื่อร่างทรงคนหนึ่งที่ทักว่า อาการป่วยของลูก เกิดจากการสร้างบ้านทับที่อยู่ของพญานาค
คนอย่างนายเปลว สีเงิน รู้ไหม สุดท้ายแล้วโยมคนนี้ต้องไร้บ้านอยู่ และระทมทุกข์เรื่องลูกหนักไปกว่าเดิมอีกเพราะอะไร ?
ก็เพราะความเชื่อและความศรัทธาที่มีต่อพญานาค แบบที่นายเปลว สีเงินเขียนถึงอยู่นี่ไง
ถ้าบูชาพญานาคแล้ว จะต้องกลายเป็นคนไร้ที่ซุกหัวนอนแบบนี้ บูชาหมาไม่ดีกว่าตรงไหน ?
ยังมีอีกหลายกรณีนะ ที่อาตมาไม่ได้หยิบยกขึ้นมากล่าว พระรูปหนึ่งจมแม่น้ำโขงมรณภาพ แต่ชาวบ้านกลับเชื่อร่างทรงที่บอกว่า ท่านไปธุดงค์ที่วังบาดาล
ชาวบ้านหลายคนหลงกราบต้นไม้ประหลาด กินดินลาวา กราบรอยฉีดน้ำ กราบรอยแปลงกลิ้งสีทาบ้าน พวกเขาทำแบบนี้เพราะอะไร ? ก็เพราะเชื่อว่า นี่คือ พญานาค
ถ้าบูชาพญานาคแล้วต้องเป็นแบบนี้ ต้องออกห่างจากพุทธธรรมมากขึ้นทุกที การบูชาหมา ไม่ดีกว่าตรงไหน ?
นายเปลว สีเงิน เป็นนักเขียนขวาจัดตกขอบ หากินกับการขายจิตวิญญาณซึ่งเต็มไปด้วยความอคติและความมืดบอดทางใจของตัวเองมาหลายสิบปี
นายเปลว สีเงิน ซึ่งดูจะเป็นคนรุ่นเก่าที่มีความเป็นนักอนุรักษ์นิยมอยู่มาก ไม่รู้เลยหรอว่า แม้แต่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ท่านก็ยกย่องสุนัขมาก ถึงนับถือเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ
‘หมา’ ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำ แบบที่นายเปลว สีเงิน หลงมองไปเองหรอก
ถ้าเทียบด้วยคุณที่เห็นเป็นประจักษ์ ไม่ใช่แค่ผ่านนิยายตำนานหรือเรื่องเล่าแบบที่นายเปลว สีเงินชอบอ่าน ‘หมา’ ย่อมมีคุณมากกว่าพญานาค ดังที่อาตมาพูดมาแล้วนั้น ไม่ผิด
ในความสัตย์จริงนี้ ตลอดครึ่งค่อนชีวิต มนุษย์แทบทุกคนล้วนมีหมาเป็นเพื่อนเป็นพี่ สำหรับบางคน หมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวด้วยซ้ำ
แล้วหมาก็เป็นสัตว์ที่มีคุณมากจริงๆ ในพระธรรมบทถึงกับยกย่องว่า สามารถไปอุบัติเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ได้ด้วยซ้ำ
คุณกราบต้นไม้ประหลาด กราบบ่อน้ำอุจจาระ กราบรูปปั้นพญานาค เพื่อหวังแค่จะขอโชคขอลาภขอเลขขอหวย (ใครไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ก็แสดงว่าโกหกตัวเองอยู่) ผลซึ่งจะได้ แทบไม่มีเลย
มิหนำซ้ำหลายครั้งยังตรงกันข้าม ยังนำไปสู่การถูกหลอก การเสียสุขภาพ เสียทรัพย์และสมบัติ หรือแม้ต่ชีวิตต่างๆ นานา
กลับกัน ถ้าคุณบูชาหมา ไม่ได้หมายถึงให้กราบไหว้ขอพรนะ บูชาในความหมายทางพระพุทธศาสนา คือยกย่องเห็นคุณและตอบแทน คุณได้รับผลทันทีเลย
คุณให้ข้าวหมาครั้งเดียวหมามันจำจนตาย แล้วมันจะซื่อสัตย์กับคุณด้วย ปกป้องคุณเท่าที่มันจะทำได้ เวลาโจรเข้าบ้าน ก็เห็นมีแต่หมาเท่านั้นแหล่ะที่ช่วยเห่า
คุณช่วยเหลือคนด้วยกัน 10 ครั้ง ไม่ช่วยแค่ 1 ครั้ง มันด่าแม่คุณเลย หักหลังนินทาคุณเลย นี่เห็นไหม
ในหลวงรัชกาลที่ 6 ท่านทราบความข้อนี้ดีเลยนะ ท่านนับถือสุนัขทรงเลี้ยงว่าเป็นเพื่อนของท่านเลย หลังจากย่าเหล (สุนัขทรงเลี้ยง) ตาย
ท่านจึงให้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ที่พระราชวังสนามจันทร์ ท่านทรงพระราชนิพนธ์บทกลอนที่สะท้อนคุณของย่าเหลในแบบที่มนุษย์บางคนอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ
ความในกลอนบทนั้นตอนหนึ่งว่า
อันตัวเพื่อนเหมือนมนุษย์สุจริต จะผิดอยู่แต่เพียงพูดไม่ได้ แต่เมื่อกูใคร่รู้ความในใจ กูมองดูรู้ได้ในดวงตา
ในรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อนก็เหมือนกันนะ ทำไมจึงทรงมีพระเมตตาต่อสุนัขทองแดงมาก ก็เพราะทรงเห็นอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 6 ท่านเห็นนั่นเอง
นายเปลว สีเงิน ควรจะทราบอีกว่า แล้วไม่ใช่แค่ที่ไทย ที่มีอนุสาวรีย์หมา สำหรับการเชิดชูยกย่อง ต่างประเทศก็มีไม่ต่างกัน
อย่างที่ญี่ปุ่น มีอนุสาวรีย์ของสุนัขตัวหนึ่งชื่อว่า ฮาจิโกะ สุนัขที่ได้รับการยกย่องว่า ซื่อสัตย์กตัญญู เพราะแม้เจ้าของมันจะตายโดยที่มันไม่รู้ แต่ฮาจิโกะก็ยังคงมารอรับเจ้าของๆ มันที่สถานีรถไฟทุกวัน
และสุดท้ายมันก็นอนตายอยู่ใกล้สถานที่ๆ มันเคยมารับเจ้าของนั้นแหล่ะ คนญี่ปุ่นยกย่องฮาจิโกะมากนะ ในฐานะของตัวแทนแห่งความรักและความซื่อสัตย์กตัญญูที่มันมีต่อเจ้าของ เขาถึงสร้างอนุสาวรีย์ให้มันเป็นเครื่องเตือนใจมนุษย์ไง
อนึ่ง เรื่องการบูชาหมานั้น มีมานานแล้วนะ ไม่ใช่เรื่องขายขำ หรืออาตมาทึกทักเอาเอง มีภาพเขียนสียุคโบราณกว่า 3,000 ปี ที่ยืนยันเรื่องนี้
คนโบราณบางกลุ่ม อย่างชาวลีซอ หรือชาวปู้ไต่ ในจังหวัดเหวินซาน มณฑลยูนนาน ของจีน คนเหล่านี้ ยกย่องหมามาก มีพิธีกรรมหูงข้าวใหม่เลี้ยงหมาด้วย เพราะในตำนานถือว่า หมาเป็นสัตว์ที่นำพันธุ์ข้าวมาให้กับมนุษย์
ชาวจ้วงแถบหลงโจว ในมณฑลกวางสี ไทใต้คง ปู้ยี (ในจีน) ชาวเขาเผ่ามูเซอ (ที่จังหวัดตาก) ชาวเขาเผ่าลีซอ มีนิทานที่เล่าถึงหมาเป็นผู้นำข้าวมาให้มนุษย์
มีโครงเรื่องหลักคล้ายคลึงกันว่า บนโลกมนุษย์เดิมไม่มีข้าว มีหมา ๙ หางตัวหนึ่งไปขโมยพันธุ์ข้าวบนฟ้า โดยเอาหางไปจุ่มเมล็ดข้าว มนุษย์ได้พันธุ์ข้าวที่ติดมากับหาง หรือขนหมา มาปลูกกิน หมาจึงมีบุญคุณแก่มนุษย์
นี่เห็นไหม? คนแบบนายเปลว สีเงินนี่ ดีอย่างมากก็แค่ตีฝีปาก แต่ไม่มีความลึกซึ้งอะไรเลย อ้างเรื่องพระพุทธเจ้าเคยเสวยชาติเป็นพญานาคอย่างนี้อย่างนั้น
คือจริงๆ ท่านก็เป็นหมดนั่นแหล่ะ ถ้าจะพูดอย่างนั้น นี่เราต้องไปกราบเหี้ยด้วยไหม เพราะพระพุทธเจ้าก็เคยเสวยพระชาติเป็นเหี้ยเหมือนกัน
เรื่องเล่าในพุทธประวัติก็ดี ในชาดกก็ดี อ่านแล้วต้องตีความให้แตกว่าท่านจะสอนอะไร มีธรรมมาธิษฐานอะไรซ่อนอยู่ เหมือนเรื่องพญามุจลินท์ ที่นายเปลว สีเงิน อ้างก็เหมือนกัน
คนส่วนใหญ่สนใจแต่เรื่องปาฎิหาริย์ ไม่มีใครสนใจธรรมะที่ท่านสอนพญามุจลินท์เลย ที่ท่านพูดถึง ความสงัดว่าเป็นสุข ความไม่เบียดเบียนในสัตว์ทั้งหลาย ความล่วงกามและความไม่มีมานะถือตัว นี่ท่านไม่ได้พูดเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์อะไรเลย
เพราะไม่สนใจธรรมะจากเรื่องนี้ ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ก็เลยถือพระปางนี้ว่าเป็นพระประจำวันเกิด ซึ่งตัวเองจะได้กราบไหว้เพื่อเสริมดวงเสริมโชคเท่านั้นเอง นี่ตื้นเขินมาก
อ้างเรื่องชาดก ก็อ้างแบบปูๆ ปลาๆ ไม่สนใจเลยว่า ชาดกจะสอนอะไร ไม่สนใจว่า พญานาคที่คนพุทธพากันไปบนบานศาลกล่าว พากันไปบูชากราบไหว้อยู่นี่ แม้แต่ตัวของสัตว์เหล่านั้นเอง เขากลับต้องการสิ่งที่ตรงกันข้าม
คือเขาไม่ได้ชื่นชมยินดีในความเป็นสัตว์เดรัจฉานของตัวเอง เขาปรารถนาที่จะได้อัตภาพของการเป็นมนุษย์ มนุษย์ซึ่งมีสติปัญญาและสามารถเข้าถึงความพ้นทุกข์ ชนิดที่สัตว์เดรัจฉานอย่างพญานาคเอง ก็ยังทำไม่ได้
คำสอนพระท่านกล่าวไว้ว่า จะดูว่า คนๆ นั้นเป็นอย่างไร พึงรู้ได้จากการสนทนากับเขา ที่จริงอาตมาไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาเขียนอะไรที่ยึดยาวอยู่นี่
แต่เห็นว่า การโปรด ‘สัตว์’ อันเป็นหน้าที่ของสมณะ เป็นเรื่องที่ควรทำ แม้บางครั้งจะไม่ต่างกับการพยายามตักน้ำรดราดหัวตอก็ตาม
พระพุทธเจ้าท่านเหนื่อยยากลำบากมาก กว่าจะนำธรรมะอันเป็นสรณะประเสริฐสุดมาเทศนาสั่งสอนเพื่อกำจัดทุกข์แก่มวลมนุษยชาติ
การปกป้องธรรมะคือหน้าที่ การเผยแผ่พุทธธรรมคือหน้าที่ และสิ่งนี้คือเรื่องที่อาตมาพยายามจะทำ”
จบ “สัมโมทนียกถา” มหาแครอต
ก็เชิญบูชาญาติโยม “ติดกัณฑ์เทศน์” กันได้ตามศรัทธา!